วันศุกร์ที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

วิธีทำขนมไทยต่าง ๆ

ขนมครก




ส่วนผสม วิธีทำ

เครื่องปรุงตัวแป้ง

1.แป้งข้าวเจ้า (แห้ง) 1 ถ้วยตวง
2.น้ำ 2 ถ้วยตวง
3. ข้าวสุก 1/3 ถ้วยตวง
4. มะพร้าวทึนทึกขูดขาว1/2 ถ้วยตวง
5. เกลือป่น 1/2 ช้อนชา
6.น้ำร้อน 1/2 ช้อนโต๊ะ


เครื่องปรุง หน้ากะทิ


1.หัวกะทิ 1 ถ้วยตวง
2. น้ำตาลทราย 1/2 ถ้วยตวง
3. เกลือป่น 1 1/2 ช้อนชา


เครื่องใช้เฉพาะเตาขนมครก ลูกประคบ (กากมะพร้าวห่อ ด้วยผ้า ขาว โดยใช้ผ้าสี่เหลี่ยมจัตุรัส ขนาด 6x6 นิ้ว )

1.ใส่กากมะพร้าวตรงกลางรวบ ชายผ้าเข้า มาทุกด้าน
2. ผูกเชือกให้กาก มะพร้าวรวมตัว เป็นก้อนกลมแผ่น ทิ้งชายไว้สำหรับจับช้อน สำหรับแคะขนมครก น้ำมัน สำหรับทาเบ้าขนมครก
3. ตวงแป้ง 1 ถ้วยตวงใส่ชามผสม เติมน้ำ 1 ถ้วยตวง คนให้เข้ากัน แล้วแช่ไว้ 12 ชั่วโมง หรือค้างคืน
4. บดข้าวสุก 1/3 ถ้วยตวง มะพร้าวขูด ถ้วยตวง พร้อมน้ำอีก 1 ถ้วยตวง
5. ใส่เบลนเดอร์จนละเอียดดี หรือโม่ด้วยโม่หินก็ได้
6. เทมะพร้าวและข้าวสุกที่บดแล้วลงในชามแป้งที่แช่ไว้ เติมเกลือป่น คนให้เข้ากันดี ใช้เป็นตัวแป้งขนมครก
7. ผสมกะทิ น้ำตาล และเกลือด้วยกัน คนให้น้ำตาลละลายตั้งเตาขนมครกบนไฟอ่อน ๆ ให้ร้อนจัด จึงใช้ลูกประคบ แตะน้ำมันพืชเช็ดเบ้าขนมครกทุกเบ้าให้ชุ่มน้ำมัน ตักแป้งหยอดลงในเบ้าประมาณค่อนเบ้า รอสักครู่จึงหยอดหน้ากะทิลงประมาณ 1/2 ช้อนโต๊ะ ปิดฝารอจนขอบแป้งเกรียมเหลือง จึงใช้ช้อนแซะขึ้นใส่ถาด




____________________







ครองแครงกะทิสด



ส่วนผสม วิธีทำ
เครื่องปรุงตัวแป้ง

1. แป้งข้าวจ้าว1/2ถ้วยตวง
2. แป้งท้าวยายม่อม1/4ถ้วยตวง
3. น้ำกะทิ1/2ถ้วยตวง

เครื่องปรุงกะทิ
1. หัวกะทิ1/2ถ้วยตวง
2. น้ำตาลทรายขาว1/2ถ้วยตวง
3 .เกลือป่น2ช้อนชา
4. งาขาวคั่วโรยหน้าขนม1/4 ถ้วยตวง
5. น้ำตาลทราย โรยหน้าขนม 1/4 ถ้วย

เครื่องมือเฉพาะ
พิมพ์ไม้สำหรับกดแป้งให้เป็นตัว ครองแครง แป้งมันสำหรับทำนวล
1. ละลายแป้งทั้ง 2 ชนิดกับน้ำกะทิให้เข้ากัน กวนใน กระทะทองพอแห้ง
2. ปั้นแป้งเป็นก้อนกลมขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 1 ซม. เวลา ปั้นใช้มือแตะแป้งมันเพื่อไม่ให้แป้งติดมือ
3. กดแป้งลงบน พิมพ์ครองแครงด้วยหัวแม่มือ แล้วม้วนแป้ง แป้งจะหลุด จากพิมพ์เป็นรูปตัวหอย วางในถาดปูผ้าขาวบางทำจนหมด
4. นำตัวหอยไปนึ่งจนสุก ใช้เวลาประมาณ 15 นาที วิธีทำน้ำกะทิ ผสมน้ำกะทิ น้ำตาล และเกลือ คนให้เข้ากันแล้วกรอง
5.นำไปตั้งไฟอ่อน ๆ จนเดือดเมื่อน้ำกะทิเดือดใส่ตัวหอยที่นึ่งสุกแล้วลงไป ยกลง ตักขนมใส่ถ้วยเสิร์ฟ โรยหน้าด้วยงาคั่วและน้ำตาลทราย




____________________




ส่วนผสม

1.ไข่เป็ด 10 ฟอง
2.น้ำตาลทราย 500 ถ้วยตวง
3.น้ำ 1ถ้วยตวง
4.ไม้ปลายแหลม



วิธีทำ


1. ใส่น้ำ น้ำตาลลงในกระทะทอง ยกขึ้นตั้งไฟให้น้ำตาลละลาย พอเดือดพล่านใส่น้ำ 3 ช้อนโต๊ะผสมกับไข่ขาว 1 ช้อนโต๊ะ ตีให้เข้ากันคอยพรมลงทีละน้อยในน้ำเชื่อม อย่าให้น้ำเชื่อมหยุดเดือดเมื่อมีฟองดำลอยขึ้นมากันช้อนทิ้งให้หมด แล้วยกกรองด้วยผ้าขาวบาง ล้างกระทะให้สะอาด จึงเทน้ำเชื่อมกลับลงในกระทะ

2. ต่อยไข่ใช้เฉพาะไข่แดง ใส่ไข่แดงเหลวในภาชนะที่ปูผ้าขาวบางไว้ รวมปลายผ้าขึ้น รูดไข่แดงออกให้หมด

3. ผสมไข่ขาวส่วนที่เรียกว่า "ไข่น้ำค้าง" ลงในไข่แดงคนให้เข้ากัน

4. ยกกระทะน้ำเชื่อมขึ้นตั้งไฟเดือดพล่าน ตักไข่ใส่กรวย (ใบตอง หรือโลหะสำหรับโรงฝอยทอง) ใช้มือซ้ายจับกรวยอยู่ในวงนิ้วหัวแม่มือกับนิ้วขี้และปลายนิ้วก้อยรองอยู่ใต้ปลายกรวย เมื่อตักไข่ใส่กรวยก็ใช้ปลายนิ้วก้อยจรดลายกรวยไว้ เมื่อตักไข่ใส่พอต้องการแล้ว จึงเปลี่ยนใช้นิ้วหัวแม่มือกับนิ้วกลางอยู่เหนือปากกระทะประมาณ 15 ซม.

5. เมื่อไข่หมดกรวยให้ตักน้ำ 2 ช้อนโต๊ะ ใส่ให้น้ำเชื่อมหยุดเดือดจึงใช้ไม้แหลมช้อนฝอยทองขึ้น เมื่อขณะช้อนขึ้นนั้นต้องจุ่มแล้วยกขึ้นหลาย ๆ ครั้ง เพื่อให้เส้นเรียบแล้วใช้ไม้แหลมอีกอันหนึ่งช่วยพับ คือ มือขวาจับไม้อันที่ช้อนขึ้นค้นจากกระทะ มือซ้ายจับไม้อีกอีกอันหนึ่งช้อนทางปลายเส้นหย่อนตรงส่วนกลางลงบนจานแบนๆ แล้วตลบทางปลายไปทางขวามือ พับให้ทั่วกัน ถ้าต้องการให้แพเล็ก ๆ ก็ทำอาการอย่างเดียวกันแต่ช้อนขึ้นทีละน้อย ๆ เมื่อช้อนขึ้นหมดแล้วโรยอีกต่อไปจนเสร็จ
____________________



เปิดตำนานขนมไทย



"...ทองหยอดทอดสนิท ทองม้วนมิดคิดความหลัง
สองปีสองปิดบัง แต่ลำพังสองต่อสอง
๏ งามจริงจ่ามงกุฎ ใส่ชื่อดุจมงกุฎทอง
เรียมร่ำคำนึงปอง สะอิ้งน้องนั้นเคยยล
๏ บัวลอยเล่ห์บัวงาม คิดบัวกามแก้วกับตน
ปลั่งเปล่งเคร่งยุคล สถนนุชดุจประทุม
๏ ช่อม่วงเหมาะมีรส หอมปรากฏกลโกสุม
คิดสีสไลคลุม หุ้มห่อม่วงดวงพุดตาน
๏ ฝอยทองเป็นยองใย เหมือนเส้นไหมไข่ของหวาน

คิดความยามเยาวมาลย์ เย็บชุนใช้ไหมทองจีน ๚



ขนมหม้อดิน

ขนมไทยใส่ขวดโหล



พิพิธภัณฑ์ขนมไทย




รถเข็นขายขนมยุคโบราณ

ขนมไทยในอดีต

ในยุครุ่งเรืองของขนมไทยนั้น นอกจากขนมง่ายๆ ที่ทำรับประทานกันเองในครัวเรือนแล้ว ร้านขนมไทยคืออีกทางเลือกหนึ่งซึ่งเป็นที่นิยมแพร่หลายแก่ผู้ที่ไม่มีเวลา แต่พิสมัยในรสชาติหวานอร่อยของขนมไทยให้ได้ซื้อหากลับไปรับประทาน

ในสมัยก่อนร้านค้ายังไม่มีจำนวนมากเช่นปัจจุบัน จึงก่อเกิดกิจการการขายขนมโดยรถเข็นเข้าไปยังตรอก ซอก ซอย หมู่บ้านต่างๆ โดยขนมรถเข็นจะขายในช่วงหัวค่ำจนถึงกลางดึก ขนมไทยส่วนใหญ่ที่อยู่ในรถเข็นได้แก่ ขนมนึ่ง เช่น ขนมชั้น ขนมถ้วย ขนมกล้วย ขนมตาล สังขยาฟักทอง และขนมเครื่องไข่ เช่น ทองหยอด ฝอยทอง ทองหยิบ เม็ดขนุน เป็นต้น

ขนมไทยอีกประเภทหนึ่งที่เป็นที่นิยมคือ "ขนมหม้อดิน" หม้อดินเป็นภาชนะประกอบอาหารที่คนไทยในสมัยโบราณคุ้นเคย เพราะสามารถเก็บความร้อนได้นานและทำให้อาหารหรือขนมมีกลิ่นหอมเฉพาะ ขนมหม้อดินโดยส่วนใหญ่เป็นขนมน้ำ เช่น ขนมแกงบวดฟักทอง เผือกบวด มันบวด และประเภทเปียก เช่น ข้าวเหนียวเปียกถั่วดำ ข้าวเหนียวเปียกสาคู หรือประเภทต้ม เช่น บัวลอย ครองแครง ปากริมไข่เต่า หรือประเภทต้มน้ำตาล เช่น ถั่วเขียวต้มน้ำตาล มันต้มขิง ในอดีตจะเห็นแม่ค้าหาบเร่หรือพายเรือนำขนมหม้อดินนี้มาขายกันมาก

"ขนมโหล" เป็นขนมไทยอีกชนิดหนึ่งที่มีวิธีการผลิตไม่ยุ่งยากซับซ้อน เช่น ทอด กวน อบ ส่วนวัตถุดิบจะหาได้จากท้องถิ่น และนำมาจำหน่ายใส่โหลแก้ววางเรียงรายในร้านค้าต่างๆ เพื่อดึงดูดลูกค้า เช่น อาลัว ถั่วทอด กล้วยฉาบ ขนมหน้านวล กล้วยกวน มะพร้าวแก้ว ฯลฯ
แต่หากจะพูดถึงขนมไทยยอดนิยม โดยเฉพาะสำหรับเด็กๆ คงจะขาดขนมชนิดนี้ไปไม่ได้ "ขนมน้ำแข็งไส" จุดเริ่มต้นเกิดจากน้ำแข็งเข้ามาเมืองไทยครั้งแรกในสมัยรัชกาลที่ 4 และต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 5 จึงได้มีโรงน้ำแข็งเกิดขึ้นแห่งแรกในประเทศไทย ต่อมาได้มีการดัดแปลงนำน้ำแข็งมาผสมกับขนมหลายชนิดเกิดเป็นขนมน้ำแข็งไส อาทิเช่น ลอดช่อง แตงไทย เผือก ลูกชิด ซ่าหริ่ม ทับทิมกรอบ โดยนิยมโรยดอกมะลิในน้ำกะทิและชิ้นขนุนในน้ำเชื่อม เพื่อให้ความหอมหวาน อร่อยและชื่นใจไปพร้อมๆ กัน


พิพิธภัณฑ์ขนมไทย...ตำนานความอร่อย


"พิพิธภัณฑ์ขนมไทย" เป็นพิพิธภัณฑ์เกี่ยวกับขนมไทยที่มีชีวิต (Life Museum) แห่งแรกของประเทศไทย ดังนั้นความโดดเด่นและความน่าสนใจของพิพิธภัณฑ์มีชีวิตแห่งนี้ คือ การบอกเล่าเรื่องราวต่างๆ ในอดีตผ่านสิ่งมีชีวิตในปัจจุบัน องค์ประกอบต่างๆ ของพิพิธภัณฑ์จะมีชีวิตชีวา มีความเคลื่อนไหว เป็นส่วนหนึ่งของความเป็นอยู่ในวิถีชีวิต กิจวัตรประจำวัน การประกอบอาชีพของคนในชุมชน

ภายในพิพิธภัณฑ์นอกจากจะประกอบด้วยองค์ความรู้เกี่ยวข้องกับขนมไทยแล้ว ผู้ศึกษาเข้าชมพิพิธภัณฑ์ยังสามารถเรียนรู้ด้วยการจับต้อง ทดลอง ผ่านรูปแบบของกิจกรรมต่างๆ ที่ทางพิพิธภัณฑ์จัดขึ้น ทำให้ผู้พบเห็นสามารถเรียนรู้วิถีชีวิตและวัฒนธรรมเกี่ยวกับ ผลิตภัณฑ์พื้นบ้าน อาหารหรือขนมไทยได้อย่างลึกซึ้ง สามารถก่อให้เกิดความเข้าใจ ตระหนักถึงคุณค่าของวัฒนธรรมในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของชีวิต สังคม ที่ควรค่าแก่การอนุรักษ์ไว้

ความเป็นมาของขนมไทย

ที่มาของคำว่าขนม
"ขนม" สันนิษฐานว่ามาจาก "ข้าวหนม" กับ "ข้าวนม" ข้าวหนมนั้นเข้าใจว่าเป็นข้าวผสมกับน้ำอ้อย น้ำตาล โดย คำว่า หนม แปลว่า หวาน เมื่อรวมกันจึงหมายความว่า ข้าวหวาน

สมัยสุโขทัย
"ขนมต้ม" ขนมไทยที่มีความเก่าแก่ พบการกล่าวถึงขนมชนิดนี้ในหนังสือไตรภูมิพระร่วง เรียบเรียงเป็นภาษาไทยตั้งแต่ปี พ.ศ.1888 ขนมต้มทำได้ง่ายโดยใช้วัตถุดิบในท้องถิ่น ได้แก่ แป้ง มะพร้าว น้ำตาล

ขนมต้มมี 2 ชนิด คือ ขนมต้มขาวและขนมต้มแดง "ขนมต้มขาว" ลักษณะเป็นแป้งลูกกลมๆ ข้างในไส้ใส่มะพร้าวเคี่ยวน้ำตาล ส่วน " ขนมต้มแดง"ไม่มีไส้ ทำเป็นแผ่นกลมขนาดเล็ก ต้มให้สุก คลุกน้ำตาล นับเป็นความอร่อยอย่างเรียบง่ายของคนไทยในยุคอดีตที่สืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน

สมัยอยุธยา
คนไทยสมัยโบราณจะได้กินขนมก็ต่อเมื่อมีงานนักขัตฤกษ์ หรืองานบุญสำคัญเท่านั้น ขนมไทยที่ใช้เลี้ยงแขกในงานขุดสระน้ำ เป็นขนมไทยที่กินกับน้ำกะทิ คือ "ขนมสี่ถ้วย" หมายถึง ไข่กบ (เม็ดแมงลัก) นกปล่อย (ลอดช่อง) บัวลอย (ข้าวตอก) และอ้ายตื้อ (ข้าวเหนียว) และได้กลายเป็นประเพณีเลี้ยงขนมชื่อว่า "ประเพณี 4 ถ้วย"นับแต่บัดนั้นเป็นต้นมา

ยุคทองของขนมไทย
ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชถือได้ว่าเป็นยุคทองของการทำขนมไทย เมื่อสตรีชาวโปรตุเกสเชื้อสายญี่ปุ่นนามว่า "มารี กีมาร์" ผู้เป็นภรรยาเจ้าพระยาวิชาเยนทร์ หรือบรรดาศักดิ์ว่า "ท้าวทองกีบม้า" เข้ารับราชการเป็นต้นเครื่องขนม ของหวานในวัง ท่านได้นำไข่ และ น้ำตาลทราย มาเป็นส่วนผสมสำคัญในขนมไทยและท่านได้ดัดแปลงสูตรขนมต่างๆ เช่น ขนมทองหยิบ ทองหยอด ฝอยทอง ขนมหม้อแกง ซึ่งได้รับความนิยมมาจนถึงปัจจุบันนี้

สมัยรัตนโกสินทร์
สมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 ได้ทรงนิพนธ์ "กาพย์เห่ชมเครื่องคาวหวาน" เพื่อชมฝีมือการทำอาหารของสมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินี ผู้เป็นมเหสีอันเป็นที่รัก และมีฝีมือในการทำอาหารคาวหวานจนเป็นที่โปรดปราน และเพื่อใช้สำหรับเป็นบทเห่ในระหว่างการเดินทางทางชลมารค กาพย์เห่ชมเครื่องคาวหวานได้บรรยายถึงอาหารคาวทั้ง 15 ชนิด และอาหารหวาน 15 ชนิด

___________________