ส่วนผสม วิธีทำเครื่องปรุงตัวแป้ง1.แป้งข้าวเจ้า (แห้ง) 1 ถ้วยตวง2.น้ำ 2 ถ้วยตวง3. ข้าวสุก 1/3 ถ้วยตวง4. มะพร้าวทึนทึกขูดขาว1/2 ถ้วยตวง5. เกลือป่น 1/2 ช้อนชา6.น้ำร้อน 1/2 ช้อนโต๊ะเครื่องปรุง หน้ากะทิ1.หัวกะทิ 1 ถ้วยตวง2. น้ำตาลทราย 1/2 ถ้วยตวง3. เกลือป่น 1 1/2 ช้อนชาเครื่องใช้เฉพาะเตาขนมครก ลูกประคบ (กากมะพร้าวห่อ ด้วยผ้า ขาว โดยใช้ผ้าสี่เหลี่ยมจัตุรัส ขนาด 6x6 นิ้ว )
1.ใส่กากมะพร้าวตรงกลางรวบ ชายผ้าเข้า มาทุกด้าน
2. ผูกเชือกให้กาก มะพร้าวรวมตัว เป็นก้อนกลมแผ่น ทิ้งชายไว้สำหรับจับช้อน สำหรับแคะขนมครก น้ำมัน สำหรับทาเบ้าขนมครก
3. ตวงแป้ง 1 ถ้วยตวงใส่ชามผสม เติมน้ำ 1 ถ้วยตวง คนให้เข้ากัน แล้วแช่ไว้ 12 ชั่วโมง หรือค้างคืน
4. บดข้าวสุก 1/3 ถ้วยตวง มะพร้าวขูด ถ้วยตวง พร้อมน้ำอีก 1 ถ้วยตวง
5. ใส่เบลนเดอร์จนละเอียดดี หรือโม่ด้วยโม่หินก็ได้
6. เทมะพร้าวและข้าวสุกที่บดแล้วลงในชามแป้งที่แช่ไว้ เติมเกลือป่น คนให้เข้ากันดี ใช้เป็นตัวแป้งขนมครก
7. ผสมกะทิ น้ำตาล และเกลือด้วยกัน คนให้น้ำตาลละลายตั้งเตาขนมครกบนไฟอ่อน ๆ ให้ร้อนจัด จึงใช้ลูกประคบ แตะน้ำมันพืชเช็ดเบ้าขนมครกทุกเบ้าให้ชุ่มน้ำมัน ตักแป้งหยอดลงในเบ้าประมาณค่อนเบ้า รอสักครู่จึงหยอดหน้ากะทิลงประมาณ 1/2 ช้อนโต๊ะ ปิดฝารอจนขอบแป้งเกรียมเหลือง จึงใช้ช้อนแซะขึ้นใส่ถาด
____________________ครองแครงกะทิสด
ส่วนผสม วิธีทำ
เครื่องปรุงตัวแป้ง
1. แป้งข้าวจ้าว1/2ถ้วยตวง
2. แป้งท้าวยายม่อม1/4ถ้วยตวง
3. น้ำกะทิ1/2ถ้วยตวง
เครื่องปรุงกะทิ
1. หัวกะทิ1/2ถ้วยตวง
2. น้ำตาลทรายขาว1/2ถ้วยตวง
3 .เกลือป่น2ช้อนชา
4. งาขาวคั่วโรยหน้าขนม1/4 ถ้วยตวง
5. น้ำตาลทราย โรยหน้าขนม 1/4 ถ้วย
เครื่องมือเฉพาะ
พิมพ์ไม้สำหรับกดแป้งให้เป็นตัว ครองแครง แป้งมันสำหรับทำนวล
1. ละลายแป้งทั้ง 2 ชนิดกับน้ำกะทิให้เข้ากัน กวนใน กระทะทองพอแห้ง
2. ปั้นแป้งเป็นก้อนกลมขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 1 ซม. เวลา ปั้นใช้มือแตะแป้งมันเพื่อไม่ให้แป้งติดมือ
3. กดแป้งลงบน พิมพ์ครองแครงด้วยหัวแม่มือ แล้วม้วนแป้ง แป้งจะหลุด จากพิมพ์เป็นรูปตัวหอย วางในถาดปูผ้าขาวบางทำจนหมด
4. นำตัวหอยไปนึ่งจนสุก ใช้เวลาประมาณ 15 นาที วิธีทำน้ำกะทิ ผสมน้ำกะทิ น้ำตาล และเกลือ คนให้เข้ากันแล้วกรอง
5.นำไปตั้งไฟอ่อน ๆ จนเดือดเมื่อน้ำกะทิเดือดใส่ตัวหอยที่นึ่งสุกแล้วลงไป ยกลง ตักขนมใส่ถ้วยเสิร์ฟ โรยหน้าด้วยงาคั่วและน้ำตาลทราย____________________
ส่วนผสม1.ไข่เป็ด 10 ฟอง2.น้ำตาลทราย 500 ถ้วยตวง3.น้ำ 1ถ้วยตวง4.ไม้ปลายแหลมวิธีทำ
1. ใส่น้ำ น้ำตาลลงในกระทะทอง ยกขึ้นตั้งไฟให้น้ำตาลละลาย พอเดือดพล่านใส่น้ำ 3 ช้อนโต๊ะผสมกับไข่ขาว 1 ช้อนโต๊ะ ตีให้เข้ากันคอยพรมลงทีละน้อยในน้ำเชื่อม อย่าให้น้ำเชื่อมหยุดเดือดเมื่อมีฟองดำลอยขึ้นมากันช้อนทิ้งให้หมด แล้วยกกรองด้วยผ้าขาวบาง ล้างกระทะให้สะอาด จึงเทน้ำเชื่อมกลับลงในกระทะ2. ต่อยไข่ใช้เฉพาะไข่แดง ใส่ไข่แดงเหลวในภาชนะที่ปูผ้าขาวบางไว้ รวมปลายผ้าขึ้น รูดไข่แดงออกให้หมด3. ผสมไข่ขาวส่วนที่เรียกว่า "ไข่น้ำค้าง" ลงในไข่แดงคนให้เข้ากัน4. ยกกระทะน้ำเชื่อมขึ้นตั้งไฟเดือดพล่าน ตักไข่ใส่กรวย (ใบตอง หรือโลหะสำหรับโรงฝอยทอง) ใช้มือซ้ายจับกรวยอยู่ในวงนิ้วหัวแม่มือกับนิ้วขี้และปลายนิ้วก้อยรองอยู่ใต้ปลายกรวย เมื่อตักไข่ใส่กรวยก็ใช้ปลายนิ้วก้อยจรดลายกรวยไว้ เมื่อตักไข่ใส่พอต้องการแล้ว จึงเปลี่ยนใช้นิ้วหัวแม่มือกับนิ้วกลางอยู่เหนือปากกระทะประมาณ 15 ซม.5. เมื่อไข่หมดกรวยให้ตักน้ำ 2 ช้อนโต๊ะ ใส่ให้น้ำเชื่อมหยุดเดือดจึงใช้ไม้แหลมช้อนฝอยทองขึ้น เมื่อขณะช้อนขึ้นนั้นต้องจุ่มแล้วยกขึ้นหลาย ๆ ครั้ง เพื่อให้เส้นเรียบแล้วใช้ไม้แหลมอีกอันหนึ่งช่วยพับ คือ มือขวาจับไม้อันที่ช้อนขึ้นค้นจากกระทะ มือซ้ายจับไม้อีกอีกอันหนึ่งช้อนทางปลายเส้นหย่อนตรงส่วนกลางลงบนจานแบนๆ แล้วตลบทางปลายไปทางขวามือ พับให้ทั่วกัน ถ้าต้องการให้แพเล็ก ๆ ก็ทำอาการอย่างเดียวกันแต่ช้อนขึ้นทีละน้อย ๆ เมื่อช้อนขึ้นหมดแล้วโรยอีกต่อไปจนเสร็จ____________________
วันศุกร์ที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2552
วิธีทำขนมไทยต่าง ๆ
เปิดตำนานขนมไทย
"...ทองหยอดทอดสนิท ทองม้วนมิดคิดความหลัง
สองปีสองปิดบัง แต่ลำพังสองต่อสอง
๏ งามจริงจ่ามงกุฎ ใส่ชื่อดุจมงกุฎทอง
เรียมร่ำคำนึงปอง สะอิ้งน้องนั้นเคยยล
๏ บัวลอยเล่ห์บัวงาม คิดบัวกามแก้วกับตน
ปลั่งเปล่งเคร่งยุคล สถนนุชดุจประทุม
๏ ช่อม่วงเหมาะมีรส หอมปรากฏกลโกสุม
คิดสีสไลคลุม หุ้มห่อม่วงดวงพุดตาน
๏ ฝอยทองเป็นยองใย เหมือนเส้นไหมไข่ของหวาน
คิดความยามเยาวมาลย์ เย็บชุนใช้ไหมทองจีน ๚
ขนมหม้อดิน
ขนมไทยใส่ขวดโหล
พิพิธภัณฑ์ขนมไทย
รถเข็นขายขนมยุคโบราณ
ขนมไทยในอดีต
ในยุครุ่งเรืองของขนมไทยนั้น นอกจากขนมง่ายๆ ที่ทำรับประทานกันเองในครัวเรือนแล้ว ร้านขนมไทยคืออีกทางเลือกหนึ่งซึ่งเป็นที่นิยมแพร่หลายแก่ผู้ที่ไม่มีเวลา แต่พิสมัยในรสชาติหวานอร่อยของขนมไทยให้ได้ซื้อหากลับไปรับประทาน
ในสมัยก่อนร้านค้ายังไม่มีจำนวนมากเช่นปัจจุบัน จึงก่อเกิดกิจการการขายขนมโดยรถเข็นเข้าไปยังตรอก ซอก ซอย หมู่บ้านต่างๆ โดยขนมรถเข็นจะขายในช่วงหัวค่ำจนถึงกลางดึก ขนมไทยส่วนใหญ่ที่อยู่ในรถเข็นได้แก่ ขนมนึ่ง เช่น ขนมชั้น ขนมถ้วย ขนมกล้วย ขนมตาล สังขยาฟักทอง และขนมเครื่องไข่ เช่น ทองหยอด ฝอยทอง ทองหยิบ เม็ดขนุน เป็นต้น
ขนมไทยอีกประเภทหนึ่งที่เป็นที่นิยมคือ "ขนมหม้อดิน" หม้อดินเป็นภาชนะประกอบอาหารที่คนไทยในสมัยโบราณคุ้นเคย เพราะสามารถเก็บความร้อนได้นานและทำให้อาหารหรือขนมมีกลิ่นหอมเฉพาะ ขนมหม้อดินโดยส่วนใหญ่เป็นขนมน้ำ เช่น ขนมแกงบวดฟักทอง เผือกบวด มันบวด และประเภทเปียก เช่น ข้าวเหนียวเปียกถั่วดำ ข้าวเหนียวเปียกสาคู หรือประเภทต้ม เช่น บัวลอย ครองแครง ปากริมไข่เต่า หรือประเภทต้มน้ำตาล เช่น ถั่วเขียวต้มน้ำตาล มันต้มขิง ในอดีตจะเห็นแม่ค้าหาบเร่หรือพายเรือนำขนมหม้อดินนี้มาขายกันมาก
"ขนมโหล" เป็นขนมไทยอีกชนิดหนึ่งที่มีวิธีการผลิตไม่ยุ่งยากซับซ้อน เช่น ทอด กวน อบ ส่วนวัตถุดิบจะหาได้จากท้องถิ่น และนำมาจำหน่ายใส่โหลแก้ววางเรียงรายในร้านค้าต่างๆ เพื่อดึงดูดลูกค้า เช่น อาลัว ถั่วทอด กล้วยฉาบ ขนมหน้านวล กล้วยกวน มะพร้าวแก้ว ฯลฯ
แต่หากจะพูดถึงขนมไทยยอดนิยม โดยเฉพาะสำหรับเด็กๆ คงจะขาดขนมชนิดนี้ไปไม่ได้ "ขนมน้ำแข็งไส" จุดเริ่มต้นเกิดจากน้ำแข็งเข้ามาเมืองไทยครั้งแรกในสมัยรัชกาลที่ 4 และต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 5 จึงได้มีโรงน้ำแข็งเกิดขึ้นแห่งแรกในประเทศไทย ต่อมาได้มีการดัดแปลงนำน้ำแข็งมาผสมกับขนมหลายชนิดเกิดเป็นขนมน้ำแข็งไส อาทิเช่น ลอดช่อง แตงไทย เผือก ลูกชิด ซ่าหริ่ม ทับทิมกรอบ โดยนิยมโรยดอกมะลิในน้ำกะทิและชิ้นขนุนในน้ำเชื่อม เพื่อให้ความหอมหวาน อร่อยและชื่นใจไปพร้อมๆ กัน
พิพิธภัณฑ์ขนมไทย...ตำนานความอร่อย
"พิพิธภัณฑ์ขนมไทย" เป็นพิพิธภัณฑ์เกี่ยวกับขนมไทยที่มีชีวิต (Life Museum) แห่งแรกของประเทศไทย ดังนั้นความโดดเด่นและความน่าสนใจของพิพิธภัณฑ์มีชีวิตแห่งนี้ คือ การบอกเล่าเรื่องราวต่างๆ ในอดีตผ่านสิ่งมีชีวิตในปัจจุบัน องค์ประกอบต่างๆ ของพิพิธภัณฑ์จะมีชีวิตชีวา มีความเคลื่อนไหว เป็นส่วนหนึ่งของความเป็นอยู่ในวิถีชีวิต กิจวัตรประจำวัน การประกอบอาชีพของคนในชุมชน
ภายในพิพิธภัณฑ์นอกจากจะประกอบด้วยองค์ความรู้เกี่ยวข้องกับขนมไทยแล้ว ผู้ศึกษาเข้าชมพิพิธภัณฑ์ยังสามารถเรียนรู้ด้วยการจับต้อง ทดลอง ผ่านรูปแบบของกิจกรรมต่างๆ ที่ทางพิพิธภัณฑ์จัดขึ้น ทำให้ผู้พบเห็นสามารถเรียนรู้วิถีชีวิตและวัฒนธรรมเกี่ยวกับ ผลิตภัณฑ์พื้นบ้าน อาหารหรือขนมไทยได้อย่างลึกซึ้ง สามารถก่อให้เกิดความเข้าใจ ตระหนักถึงคุณค่าของวัฒนธรรมในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของชีวิต สังคม ที่ควรค่าแก่การอนุรักษ์ไว้
ความเป็นมาของขนมไทย
ที่มาของคำว่าขนม
"ขนม" สันนิษฐานว่ามาจาก "ข้าวหนม" กับ "ข้าวนม" ข้าวหนมนั้นเข้าใจว่าเป็นข้าวผสมกับน้ำอ้อย น้ำตาล โดย คำว่า หนม แปลว่า หวาน เมื่อรวมกันจึงหมายความว่า ข้าวหวานสมัยสุโขทัย
"ขนมต้ม" ขนมไทยที่มีความเก่าแก่ พบการกล่าวถึงขนมชนิดนี้ในหนังสือไตรภูมิพระร่วง เรียบเรียงเป็นภาษาไทยตั้งแต่ปี พ.ศ.1888 ขนมต้มทำได้ง่ายโดยใช้วัตถุดิบในท้องถิ่น ได้แก่ แป้ง มะพร้าว น้ำตาลขนมต้มมี 2 ชนิด คือ ขนมต้มขาวและขนมต้มแดง "ขนมต้มขาว" ลักษณะเป็นแป้งลูกกลมๆ ข้างในไส้ใส่มะพร้าวเคี่ยวน้ำตาล ส่วน " ขนมต้มแดง"ไม่มีไส้ ทำเป็นแผ่นกลมขนาดเล็ก ต้มให้สุก คลุกน้ำตาล นับเป็นความอร่อยอย่างเรียบง่ายของคนไทยในยุคอดีตที่สืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน
สมัยอยุธยา
คนไทยสมัยโบราณจะได้กินขนมก็ต่อเมื่อมีงานนักขัตฤกษ์ หรืองานบุญสำคัญเท่านั้น ขนมไทยที่ใช้เลี้ยงแขกในงานขุดสระน้ำ เป็นขนมไทยที่กินกับน้ำกะทิ คือ "ขนมสี่ถ้วย" หมายถึง ไข่กบ (เม็ดแมงลัก) นกปล่อย (ลอดช่อง) บัวลอย (ข้าวตอก) และอ้ายตื้อ (ข้าวเหนียว) และได้กลายเป็นประเพณีเลี้ยงขนมชื่อว่า "ประเพณี 4 ถ้วย"นับแต่บัดนั้นเป็นต้นมายุคทองของขนมไทย
ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชถือได้ว่าเป็นยุคทองของการทำขนมไทย เมื่อสตรีชาวโปรตุเกสเชื้อสายญี่ปุ่นนามว่า "มารี กีมาร์" ผู้เป็นภรรยาเจ้าพระยาวิชาเยนทร์ หรือบรรดาศักดิ์ว่า "ท้าวทองกีบม้า" เข้ารับราชการเป็นต้นเครื่องขนม ของหวานในวัง ท่านได้นำไข่ และ น้ำตาลทราย มาเป็นส่วนผสมสำคัญในขนมไทยและท่านได้ดัดแปลงสูตรขนมต่างๆ เช่น ขนมทองหยิบ ทองหยอด ฝอยทอง ขนมหม้อแกง ซึ่งได้รับความนิยมมาจนถึงปัจจุบันนี้
สมัยรัตนโกสินทร์
สมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 ได้ทรงนิพนธ์ "กาพย์เห่ชมเครื่องคาวหวาน" เพื่อชมฝีมือการทำอาหารของสมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินี ผู้เป็นมเหสีอันเป็นที่รัก และมีฝีมือในการทำอาหารคาวหวานจนเป็นที่โปรดปราน และเพื่อใช้สำหรับเป็นบทเห่ในระหว่างการเดินทางทางชลมารค กาพย์เห่ชมเครื่องคาวหวานได้บรรยายถึงอาหารคาวทั้ง 15 ชนิด และอาหารหวาน 15 ชนิด___________________