วันศุกร์ที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2552



เปิดตำนานขนมไทย



"...ทองหยอดทอดสนิท ทองม้วนมิดคิดความหลัง
สองปีสองปิดบัง แต่ลำพังสองต่อสอง
๏ งามจริงจ่ามงกุฎ ใส่ชื่อดุจมงกุฎทอง
เรียมร่ำคำนึงปอง สะอิ้งน้องนั้นเคยยล
๏ บัวลอยเล่ห์บัวงาม คิดบัวกามแก้วกับตน
ปลั่งเปล่งเคร่งยุคล สถนนุชดุจประทุม
๏ ช่อม่วงเหมาะมีรส หอมปรากฏกลโกสุม
คิดสีสไลคลุม หุ้มห่อม่วงดวงพุดตาน
๏ ฝอยทองเป็นยองใย เหมือนเส้นไหมไข่ของหวาน

คิดความยามเยาวมาลย์ เย็บชุนใช้ไหมทองจีน ๚



ขนมหม้อดิน

ขนมไทยใส่ขวดโหล



พิพิธภัณฑ์ขนมไทย




รถเข็นขายขนมยุคโบราณ

ขนมไทยในอดีต

ในยุครุ่งเรืองของขนมไทยนั้น นอกจากขนมง่ายๆ ที่ทำรับประทานกันเองในครัวเรือนแล้ว ร้านขนมไทยคืออีกทางเลือกหนึ่งซึ่งเป็นที่นิยมแพร่หลายแก่ผู้ที่ไม่มีเวลา แต่พิสมัยในรสชาติหวานอร่อยของขนมไทยให้ได้ซื้อหากลับไปรับประทาน

ในสมัยก่อนร้านค้ายังไม่มีจำนวนมากเช่นปัจจุบัน จึงก่อเกิดกิจการการขายขนมโดยรถเข็นเข้าไปยังตรอก ซอก ซอย หมู่บ้านต่างๆ โดยขนมรถเข็นจะขายในช่วงหัวค่ำจนถึงกลางดึก ขนมไทยส่วนใหญ่ที่อยู่ในรถเข็นได้แก่ ขนมนึ่ง เช่น ขนมชั้น ขนมถ้วย ขนมกล้วย ขนมตาล สังขยาฟักทอง และขนมเครื่องไข่ เช่น ทองหยอด ฝอยทอง ทองหยิบ เม็ดขนุน เป็นต้น

ขนมไทยอีกประเภทหนึ่งที่เป็นที่นิยมคือ "ขนมหม้อดิน" หม้อดินเป็นภาชนะประกอบอาหารที่คนไทยในสมัยโบราณคุ้นเคย เพราะสามารถเก็บความร้อนได้นานและทำให้อาหารหรือขนมมีกลิ่นหอมเฉพาะ ขนมหม้อดินโดยส่วนใหญ่เป็นขนมน้ำ เช่น ขนมแกงบวดฟักทอง เผือกบวด มันบวด และประเภทเปียก เช่น ข้าวเหนียวเปียกถั่วดำ ข้าวเหนียวเปียกสาคู หรือประเภทต้ม เช่น บัวลอย ครองแครง ปากริมไข่เต่า หรือประเภทต้มน้ำตาล เช่น ถั่วเขียวต้มน้ำตาล มันต้มขิง ในอดีตจะเห็นแม่ค้าหาบเร่หรือพายเรือนำขนมหม้อดินนี้มาขายกันมาก

"ขนมโหล" เป็นขนมไทยอีกชนิดหนึ่งที่มีวิธีการผลิตไม่ยุ่งยากซับซ้อน เช่น ทอด กวน อบ ส่วนวัตถุดิบจะหาได้จากท้องถิ่น และนำมาจำหน่ายใส่โหลแก้ววางเรียงรายในร้านค้าต่างๆ เพื่อดึงดูดลูกค้า เช่น อาลัว ถั่วทอด กล้วยฉาบ ขนมหน้านวล กล้วยกวน มะพร้าวแก้ว ฯลฯ
แต่หากจะพูดถึงขนมไทยยอดนิยม โดยเฉพาะสำหรับเด็กๆ คงจะขาดขนมชนิดนี้ไปไม่ได้ "ขนมน้ำแข็งไส" จุดเริ่มต้นเกิดจากน้ำแข็งเข้ามาเมืองไทยครั้งแรกในสมัยรัชกาลที่ 4 และต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 5 จึงได้มีโรงน้ำแข็งเกิดขึ้นแห่งแรกในประเทศไทย ต่อมาได้มีการดัดแปลงนำน้ำแข็งมาผสมกับขนมหลายชนิดเกิดเป็นขนมน้ำแข็งไส อาทิเช่น ลอดช่อง แตงไทย เผือก ลูกชิด ซ่าหริ่ม ทับทิมกรอบ โดยนิยมโรยดอกมะลิในน้ำกะทิและชิ้นขนุนในน้ำเชื่อม เพื่อให้ความหอมหวาน อร่อยและชื่นใจไปพร้อมๆ กัน


พิพิธภัณฑ์ขนมไทย...ตำนานความอร่อย


"พิพิธภัณฑ์ขนมไทย" เป็นพิพิธภัณฑ์เกี่ยวกับขนมไทยที่มีชีวิต (Life Museum) แห่งแรกของประเทศไทย ดังนั้นความโดดเด่นและความน่าสนใจของพิพิธภัณฑ์มีชีวิตแห่งนี้ คือ การบอกเล่าเรื่องราวต่างๆ ในอดีตผ่านสิ่งมีชีวิตในปัจจุบัน องค์ประกอบต่างๆ ของพิพิธภัณฑ์จะมีชีวิตชีวา มีความเคลื่อนไหว เป็นส่วนหนึ่งของความเป็นอยู่ในวิถีชีวิต กิจวัตรประจำวัน การประกอบอาชีพของคนในชุมชน

ภายในพิพิธภัณฑ์นอกจากจะประกอบด้วยองค์ความรู้เกี่ยวข้องกับขนมไทยแล้ว ผู้ศึกษาเข้าชมพิพิธภัณฑ์ยังสามารถเรียนรู้ด้วยการจับต้อง ทดลอง ผ่านรูปแบบของกิจกรรมต่างๆ ที่ทางพิพิธภัณฑ์จัดขึ้น ทำให้ผู้พบเห็นสามารถเรียนรู้วิถีชีวิตและวัฒนธรรมเกี่ยวกับ ผลิตภัณฑ์พื้นบ้าน อาหารหรือขนมไทยได้อย่างลึกซึ้ง สามารถก่อให้เกิดความเข้าใจ ตระหนักถึงคุณค่าของวัฒนธรรมในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของชีวิต สังคม ที่ควรค่าแก่การอนุรักษ์ไว้

ความเป็นมาของขนมไทย

ที่มาของคำว่าขนม
"ขนม" สันนิษฐานว่ามาจาก "ข้าวหนม" กับ "ข้าวนม" ข้าวหนมนั้นเข้าใจว่าเป็นข้าวผสมกับน้ำอ้อย น้ำตาล โดย คำว่า หนม แปลว่า หวาน เมื่อรวมกันจึงหมายความว่า ข้าวหวาน

สมัยสุโขทัย
"ขนมต้ม" ขนมไทยที่มีความเก่าแก่ พบการกล่าวถึงขนมชนิดนี้ในหนังสือไตรภูมิพระร่วง เรียบเรียงเป็นภาษาไทยตั้งแต่ปี พ.ศ.1888 ขนมต้มทำได้ง่ายโดยใช้วัตถุดิบในท้องถิ่น ได้แก่ แป้ง มะพร้าว น้ำตาล

ขนมต้มมี 2 ชนิด คือ ขนมต้มขาวและขนมต้มแดง "ขนมต้มขาว" ลักษณะเป็นแป้งลูกกลมๆ ข้างในไส้ใส่มะพร้าวเคี่ยวน้ำตาล ส่วน " ขนมต้มแดง"ไม่มีไส้ ทำเป็นแผ่นกลมขนาดเล็ก ต้มให้สุก คลุกน้ำตาล นับเป็นความอร่อยอย่างเรียบง่ายของคนไทยในยุคอดีตที่สืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน

สมัยอยุธยา
คนไทยสมัยโบราณจะได้กินขนมก็ต่อเมื่อมีงานนักขัตฤกษ์ หรืองานบุญสำคัญเท่านั้น ขนมไทยที่ใช้เลี้ยงแขกในงานขุดสระน้ำ เป็นขนมไทยที่กินกับน้ำกะทิ คือ "ขนมสี่ถ้วย" หมายถึง ไข่กบ (เม็ดแมงลัก) นกปล่อย (ลอดช่อง) บัวลอย (ข้าวตอก) และอ้ายตื้อ (ข้าวเหนียว) และได้กลายเป็นประเพณีเลี้ยงขนมชื่อว่า "ประเพณี 4 ถ้วย"นับแต่บัดนั้นเป็นต้นมา

ยุคทองของขนมไทย
ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชถือได้ว่าเป็นยุคทองของการทำขนมไทย เมื่อสตรีชาวโปรตุเกสเชื้อสายญี่ปุ่นนามว่า "มารี กีมาร์" ผู้เป็นภรรยาเจ้าพระยาวิชาเยนทร์ หรือบรรดาศักดิ์ว่า "ท้าวทองกีบม้า" เข้ารับราชการเป็นต้นเครื่องขนม ของหวานในวัง ท่านได้นำไข่ และ น้ำตาลทราย มาเป็นส่วนผสมสำคัญในขนมไทยและท่านได้ดัดแปลงสูตรขนมต่างๆ เช่น ขนมทองหยิบ ทองหยอด ฝอยทอง ขนมหม้อแกง ซึ่งได้รับความนิยมมาจนถึงปัจจุบันนี้

สมัยรัตนโกสินทร์
สมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 ได้ทรงนิพนธ์ "กาพย์เห่ชมเครื่องคาวหวาน" เพื่อชมฝีมือการทำอาหารของสมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินี ผู้เป็นมเหสีอันเป็นที่รัก และมีฝีมือในการทำอาหารคาวหวานจนเป็นที่โปรดปราน และเพื่อใช้สำหรับเป็นบทเห่ในระหว่างการเดินทางทางชลมารค กาพย์เห่ชมเครื่องคาวหวานได้บรรยายถึงอาหารคาวทั้ง 15 ชนิด และอาหารหวาน 15 ชนิด

___________________

2 ความคิดเห็น:

  1. ถึงจะม่ได้อ่าน ... ดูแต่ภาพก้น่ากิน ^^


    น้ำลายไหล และ '๕๕๕๕๕๕๕

    ตอบลบ
  2. เห็นทีต้องหันมากินขนมไทยซะละ

    ตอบลบ